ทุกๆคนล้วนมีความหวังและความฝันที่แตกต่างกัน หลายคนได้ในสิ่งที่ตนหวังและฝันเอาไว้ แต่บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตรอคอยความหวังและความฝันเหล่านั้นโดยหวังไว้ว่า สักวันนึงมันจะต้องเป็นจริงขึ้นมา คำว่า “โอกาส” ฟังดูแล้วอาจเป็นเพียงคำธรรมดาๆคำนึง หลายคนเฝ้ามองหาโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ก็มีหลายต่อหลายคนเช่นกัน ที่ ยังไม่ได้รับโอกาสเหล่านั้น
ผู้คนมากมายทั่วโลกกล่าวกันว่า “แอมเวย์ คืออีกหนึ่งโอกาสทางธุรกิจที่ดีที่สุด” นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาได้รับโอกาสนั้น และได้ในสิ่งที่ตนหวังและฝันเอาไว้จากการทำธุรกิจแอมเวย์ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของแอมเวย์คือ “อิสรภาพ ครอบครัว ความหวัง และรางวัล”
อิสรภาพ Freedom
ทุกวันนี้เราเสียอิสรภาพโดยที่เราม่รู้ตัว.... เข้างาน 9 โมงเช้า เลิกงาน 5 โมงย็น ตอกบัตรทุกวัน ห้ามลากิจเกิน 7 วัน มีตำแหน่งสูงๆ รับเงินเดือนมากมาย แต่ไปฉลองวันเกิดลูกไม่ได้ จะไปเที่ยวแอฟริกาใต้ 3 เดือนก็ไม่มีโอกาส การที่จะได้มาซึ่งความมั่นคงของชีวิต “จำเป็นด้วยหรือที่ต้องแลกด้วยอิสรภาพ”
ครอบครัว Family
ครอบครัวเป็นโรงเรียนแห่งแรก.... เป็นสวนสนุกที่หัวเราะด้วยกัน.... เป็นศาลาคนเศร้าให้ระบายความทุกข์.... เป็นที่พักยามหมดแรง.... จึงไม่ผิดที่จะพูดว่าเราอยู่ไม่ได้โดยปราศจากครอบครัว ไม่มีสิ่งใดมาทดแทนเวลาอันมีค่าของคุณกับครอบครัวได้ เพราะเป็นเวลาที่คุณเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ มีโอกาสอยู่ร่วมกับลูกๆของคุณอย่างใกล้ชิด และทำกิจกรรมที่คุณชื่นชอบได้อย่างมีความสุข
ความหวัง Hope
ความหวัง ทำให้ทหารใกล้แพ้มีแรงต่อสู้จนชนะ ทำให้คนป่วยหนักมีกำลังต่อสู้โรคร้ายจนหายขาด.... ทำให้คนเราทุกคนเดินไปสู่จดหมายของชีวิตได้ตามฝัน.... ความหวังไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน แต่มีพลังมากมายจนเรานึกไม่ถึง
รางวัล Reward
คนเราปฏิเสธไม่ได้ว่า เมื่อทำอะไรซักอย่าง ย่อมหวังสิ่งตอบแทนเป็นรางวัล เมื่อเราให้.... เราก็หวังที่จะได้รอยยิ้มกลับมา เมื่อเราทุ่มเท.... เราก็หวังความสำเร็จเป็นรางวัล รางวัลอาจไม่ต้องเป็นวัตถุมีค่า แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เราเห็นคุณค่าของตัวเอง
บริษัทแอมเวย์ถือกำเนิดขึ้นในปี 2502 ซึ่งถือเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 50 ปีแล้วที่บริษัทแอมเวย์ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ เนื้อที่บริษัทประมาณ 750 ไร่ หรือขนาดเท่าๆกับเมืองพัทยา 1 เมือง บริษัทแอมเวย์มีโรงงานการผลิตเป็นของตัวเอง และไม่มีการกู้ยืมเงินจากสถาบันทางการเงินใดๆทั้งสิ้น อีดทั้งยังมีการพัฒนารูปแบบและคุณภาพของสินค้าให้นำสมัยอยู่ตลอดเวลา โดยมีสินค้าที่เราเป็นเจ้าของสิทธิบัตรมากกว่า 600 รายการ และรอจดสิทธิบัตรอีกกว่า 400 รายการ ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายโดยนักธุรกิจแอมเวย์ ด้วยแผนการตลาดแบบ MLM หรือ Multilevel Marketing (แผนการขายตรงแบบหลายชั้น)
บริษัทแอมเวย์ ก่อตั้งขึ้นมาด้วยคำถามที่ว่า “จะทำอย่างไรให้นักธุรกิจอิสระ มีธุรกิจที่มั่นคงที่สุด” ซึ่งไม่เหมือนกับบริษัททั่วๆไป ที่ถูกก่อตั้งขึ้นด้วยคำถามที่ว่า “จะทำอย่างไรให้บริษัทกำไรที่สุด” จึงทำให้แอมเวย์เป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดีที่สุดสำหรับทุกๆคนที่กำลังมองหาโอกาสที่จะสร้างชีวิตของตนให้ประสบความสำเร็จ สองผู้ก่อตั้งบริษัทแอมเวย์ “ริช เดอโวส และ เจ แวนแอนเดล” ได้ให้ปรัญชาของธุรกิจแอมเวย์เอาไว้สองข้อคือ
1. เราต้องการเปิดโอกาสให้ชายหญิงทั่วโลกได้ใช้ศักยภาพของตนเอง โดยการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เพื่อบรรลุความใฝ่ฝัน
2. เราจะผลิตสินค้าที่ดีที่สุดเท่าที่เทคโนโลยีที่มีในปัจจุบันสามารถผลิตได้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ใช้
ด้วยปรัญชาของแอมเวย์ข้อที่ 1 ที่เปิดโอกาสให้คนทุกเพศทุกวัย ที่อายุถึง 18 ปี สามารถสมัครเข้ามาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับบริษัทแอมเวย์ได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่จำกัดการศึกษา ไม่จำกัดอายุงาน ไม่มีเกษียณ ไม่จำกัดความสมบูรณ์พร้อมของร่างกาย โดยที่ทุกๆคนสามารถใช้ศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของตัวเองทำธุรกิจเพื่อบรรลุความใฝ่ฝันได้ ส่วนปรัญชาข้อที่ 2 ก็เป็นเครื่องยืนยันว่าสินค้าของแอมเวย์ เป็นสินค้าที่ดีที่สุดในโลก เพราะทำมาให้ผู้บริโภคได้ใช้ไม่ได้ทำมาเพียงเพื่อขายเอากำไรเหมือนสินค้าทั่วๆไป และเพราะแอมเวย์รู้ว่า นักธุรกิจอิสระต้องการสินค้าที่ดีที่สุด เพื่อที่จะทำให้ผู้บริโภคประทับใจในตัวสินค้า ซึ่งก็ทำให้นักธุรกิจอิสระสามารถขายซ้ำๆได้ตลอดเวลา “ความประทับใจในคุณภาพสินค้าของผู้บริโภค ทำให้เกิดการซื้อซ้ำ” ใช้หมดซื้อใหม่ ขายซ้ำได้ตลอด เพราะผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพของสินค้า
บริษัทแอมเวย์เป็นแม่แบบของบริษัทขายตรงทั่วโลก เราเป็นผู้ที่คิดและพัฒนาแผนการขายตรงแบบหลายชั้น และได้รับรางวัลแผนการตลาดยอดเยี่ยมอีกด้วย แต่ก็มีหลายต่อหลายบริษัทที่มักจะบอกว่า แผนการตลาดของเขาเหมือนกับแอมเวย์เลย แต่ว่าดีกว่า ทำง่ายกว่า รวยเร็วกว่า ผู้คนที่ยังไม่ทันได้คิดตริตรองดีๆ ก็แห่กันนไปสมัครร่วมธุรกิจกับบริษัทเหล่านั้น แต่สุดท้ายแล้ว บริษัทเหล่านั้นก็ค่อยๆทยอยปิดกิจการไป แล้วก็เปิดขึ้นมาใหม่ ผู้บริหารก็คนเดิมๆ แต่ว่าเปลี่ยนสินค้าและชื่อบริษัท เชื่อมั้ยครับว่า ต่อให้แผนการตลาดดียังไง วิเศษแค่ไหนก็แล้วแต่ถ้าผู้บริโภคไม่ชอบสินค้า ไม่มั่นใจในคุณภาพของสินค้า ยังไงๆ ก็ไม่เกิดการซื้อซ้ำแน่นอน พอผู้บริโภคไม่ซื้อซ้ำ บริษัทก็ไปไม่รอด ก็ต้องปิดกิจการไป คนที่เข้ามาทำธุรกิจกับบริษัทเหล่านั้น บางคนก็ลาออกจากงานมาทำ ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ จิตใจแน่วแน่มั่นคงเพื่อที่จะบรรลุความใฝ่ฝันของตน แต่สุดท้ายแล้วบริษัทก็ไม่ได้มั่นคงกับเขาด้วย พอบริษัทเลิกกิจการไป พวกเขาก็อยู่กันแบบสิ้นหวัง หมดอะไรตายอยากในชีวิต เพราะฝากชีวิตครอบครัว ชีวิตคนที่ตนเองรัก ไว้กับบริษัทที่ไม่มั่นคง
โรเบิร์ด คิโยซากิ ผู้แต่งหนังสือเรื่อง “เงินสี่ด้าน” บอกเอาไว้ว่าแหล่งที่มาของรายได้ในโลกนี้มีอยู่สี่ทางด้วยกันคือ ลูกจ้าง เจ้าของกิจการ เจ้าของธุรกิจ และนักลงทุน
ลูกจ้าง
E
EMPLOYEE
|
เจ้าของกิจการ
B
BUSINESS OWNER
|
เจ้าของธุรกิจ
S
SMALL BUSINESS
|
นักลงทุน
I
INVENTOR
|
เงินสี่ด้าน
|
1. ลูกจ้าง (EMPLOYEE) คือคนที่ทำงานกินเงินเดือนประจำ เช่น ข้าราชการ พนักงาน รวมถึงผู้ที่มีรายได้แบบรายวัน และรายเดือน คนเหล่านี้จะมีรายได้แบบขั้นบันได คือ ทำงานแล้วได้ขั้นจึงจะมีเงินเพิ่มขึ้น เมื่อทำงานไม่ได้ รายได้ก็หายไป ถึงจะมีเงินหลังเกษียณ แต่เมื่อเสียชีวิตก็มีค่าเป็นศูนย์

2.

· รายได้แบบรับครั้งเดียว
เช่น ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ และการรับเหมาต่างๆ งานเหล่านี้จะมีรายได้เป็นครั้งๆเมื่อทำงานแล้วรายได้ก็จะจบไปเมื่อไม่มีงานให้ทำ

·
เช่นงานทั่วๆไปที่ต้องใช้แรงทำงานถึงจะมีเงิน เมื่อเริ่มทำงานไม่ได้แล้ว รายได้ก็จะค่อยๆหายไปด้วยและลดลงจนเป็น 0 เมื่อเสียชีวิตหรือทำงานไม่ได้แล้ว

· รายได้แบบขึ้นลงตามสถานการณ์
คือขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจ การเมือง การเงิน เช่น พวกร้านค้าทั่วๆไป ร้านโชว์ห่วย ขายได้ก็มีรายได้ ขายไม่ได้ก็ไม่มีรายได้ รายได้จึงเป็นแบบขึ้นๆลงๆตาม ภาวะเศรษฐกิจและการเงินต่างๆ

3. เจ้าของกิจการ (Business Owner) คือผู้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของเงินสี่ด้าน ซึ่งเรียกกันว่าด้าน B คนในด้าน B จะสร้างระบบ สร้างแฟรนไช สร้างระบบเครือข่าย เช่น Big C , Macro , Lotus , เซฟเว่นอีเลฟเว่น , ชายสี่บะหมี่เกี้ยว , MK สุกี้ , KFC , Amway เป็นต้น รายได้ของคนด้าน B จะไม่ค่อยมั่นคงในช่วงแรกๆ คือจะมีขึ้นๆลงๆบ้างเล็กน้อย แต่เมื่อระบบสมบูรณ์แล้ว รายได้จะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณอย่างมหาศาล

3.

4. นักลงทุน (Inventor) คือผู้ที่ใช้เงินทำงาน โดยการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สิน เช่นนำเงินมาซื้อพันธบัตร หรือ อสังหาริมทรัพย์ หรือ หุ้นต่างๆ เมื่อมีการเติบโตจนถึงระดับที่พอใจก็ขายออกไป หรือเมื่อราคาตกจนถึงระดับที่ไม่ควรถือไว้ ก็ให้ขายออกไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งถ้าหากว่าลงทุนอย่างฉลาดแล้ว ก็จะมีการเติบโตของทรัพย์สินมากขึ้นๆเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องของภาษีมาเกี่ยวข้องในทุกๆครั้งที่มีการขาย แต่คนด้าน I จะเสียภาษีน้อยกว่าคนด้าน E เสียอีก เพราะคนด้าน I เขาจะใช้สิทธิ์ยืดเวลาในการเสียภาษี โดยจะนำรายได้มาหักรายจ่ายก่อนแล้วค่อยเสียภาษีจากรายได้ที่เหลือ ด้วย
คนด้าน E รายได้ - ภาษี(35% ของรายได้) - รายจ่าย ภาษีคิดจากรายได้เต็มๆ |
เหตุนี้จึงทำให้คนด้าน I ยิ่งลงทุนได้ถูกวิธี ก็จะยิ่งรวย เพราะแทบไม่ต้องเสียภาษีเลย พวกเขาขายได้ ได้เงินมา ก็หักรายจ่ายจนหมด ก็คือ ขายได้ก็ยืดเวลาเสียภาษี แล้วนำเงินที่ได้มาไปซื้อทรัพย์สินใหม่แบบนี้ไปเรื่อยๆ
ถ้าคุณสังเกตุคุณจะพบว่า คนรวย คนที่เป็นมหาเศรษฐีในโลกนี้ ทุกๆคนจะอยู่ด้าน B และด้าน I โดยเฉพาะผู้ที่สามารถเป็นคนด้าน B และด้าน I ในเวลาเดียวกันนั้นก็เป็นมหาเศรษฐีได้อย่างง่ายดาย นักธุรกิจแอมเวย์เองก็ถือเป็นคนด้าน B เช่นเดียวกัน เนื่องจากพวกเขาจะสร้างระบบเครือข่ายขึ้นมารายได้ที่ได้รับในช่วงแรกๆอาจจะไม่มากมายเท่าไหร่นักแต่หลังจากนั้นไม่นานเมื่อระบบที่สร้างขึ้นด้วยตัวเองสมบูรณ์ขึ้นมา รายได้ก็จะทวีคูณอย่างมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว เหมือนกับคุณมีคานผ่อนแรงมาช่วยในการทำงาน เช่นถ้าคุณมียอด 3000 PV คุณก็เป็น 3% มีรายได้ประมาณ 225 บาท แต่ถ้าคุณทำงานเพิ่มขึ้น 50 เท่า 50×3000 = 150,000 PV คุณก็เป็น 21% มีรายได้ประมาณ 78,750 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากตอนคุณเป็น 3% ถึง 350 เท่าเลยทีเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น