ศักยภาพของธุรกิจแอมเวย์


ศักยภาพของธุรกิจแอมเวย์
หลังจากที่พวกเราประสบความสำเร็จมานับ  10  ปี  ทำให้เราเชื่อมั่นได้ว่า  บุคคลที่เลือก  Amway”  นะครับ  ไม่จำเป็นต้องเก่ง ไม่จำเป็นต้องมีความสามารถเป็นเลิศ  ไม่จำเป็นต้องมีการศึกษาสูง  ไม่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญพิเศษ   เพียงแต่พวกเราเป็นคนธรรมดาๆที่มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำ  เชื่อมั่นในตัวเราเอง  และอยู่บนยานพาหนะที่ดีเช่น  Amway    พาหนะที่ดีจะเป็นเคื่องมือที่นำพาเราไปสู่ความสำเร็จ  ซึ่งถ้าเราไม่ทิ้งมันไป  มันก็สามารถที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จได้    มีคนยกตัวอย่างการแข่งม้าว่า  ม้าที่เข้าเส้นชัยได้เป็นอันดับหนึ่ง  มันมีองค์ประกอบอยู่  2   อย่าง    อย่างที่  1  ก็คือ  จ๊อกกี้ที่ขี่ม้า  อย่างที่  2  ก็คือ  ม้าที่ส่งลงแข่ง  ผลการวิจัยบอกว่า  จ๊อกกี้ฝีมือดีแต่ไปขี่ม้าตัวห่วย  กับจ๊อกกี้ฝีมือธรรมดาแต่ขี่ม้าตัวเก่ง  เมื่อลงสนามพร้อมๆกันแล้ว  คุณคิดว่าใครจะชนะครับ  คำตอบก็คือ  ม้าตัวเก่งครับ  เช่นเดียวกัน  มีการวิจัยของนักเขียนท่านหนึ่งที่เดินทางไปสำรวจความสำเร็จของบุคคลทั่วโลก  ไม่ว่านักการเมือง  นักเศรษฐศาสตร์  นักธุรกิจ  ข้าราชการ  ผู้บริหาร  หรือผู้นำประเทศ  ผลการวิจัยบอกว่า  มีคนจำนงวน  10%  เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในชีวิตโดยที่มีความสามารถพิเศษหรืออัจฉริยะ  แต่ก็มีคนถึง  90%  ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต  โดยที่บุคคลเหล่านั้นจะต้องมีบุคคลหรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จคอยเอื้ออำนวย  คอยอุดหนุนให้บุคคลเหล่านั้นประสบความสำเร็จ  เช่น  นาย    มีพ่อเป็นรัฐมนตรีหรือนักการเมือง  โอกาสที่ลูกของนาย    จะเป็นรัฐมนตรี  เป็นนักการเมือง  คุณว่ามีโอกาสสูงมั้ยครับ  มีใช่มั้ยครับ  ถ้าพ่อเป็นนักการฑูต โอกาสที่ลูกจะได้เป็นฑูตสูงมั้ยครับ  สูงใช่มั้ยครับ  แล้วถ้าพ่อมีธุรกิจร้านทอง  โอกาสที่ลูกจะมีธุรกิจร้านทองสูงไหมครับ    เพราะฉะนั้นเค้าเลยบอกว่าความสำเร็จในชีวิต  จะต้องมีบุคคลหรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จแล้วคอบสนับสนุนใช่มั้ยครับ  คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต  ส่วนใหญ่จะเป็นฑูต  เป็นผู้นำระดับสูง  เป็นผู้มีสกุล  ณ มหาสารคาม  ณ สงขลา  ณ ภูเก็ต  ณ พัทลุง  ส่วนตัวผมเองก็มี   เหมือนกันครับ  นะครับ  กับ  นะจ้ะ  แล้วมันจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ยังไง
แต่แล้ววันหนึ่งผมก็มาเจอกับธุรกิจแอมเวย์  ตอนนั้นผมเพิ่งจบโรงเรียนนายเรือเพิ่งติดยศมาใหม่ๆ  ก็พยายามหางานพิเศษทำ ในตอนนั้นไม่มีใครมาชวนผมแต่ผมเห็นเพื่อนๆ 2  -  3  คนทำแอมเวย์กัน  ก็เลยไปถามเค้าแล้วในที่สุดผมก็ได้ทำแอมเวย์  ผมทำแอมเวย์มาสามเดือนผมก็เป็น  12%  ในตอนนั้นผมมีรายได้พิเศษจากการทำธุรกิจแอมเวย์อยู่ประมาณ  4,000  -  10,000  บาท  เทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ก็พยายามหางานพิเศษทำเหมือนๆกัน  เชื่อมั้ยครับว่าไม่มีใครเลยที่คิดว่าทำแอมเวย์จะมีรายได้ขึ้นมาถึงหมื่นบาทได้  ทุกๆคนคิดว่าผมเก่ง  แต่จริงๆแล้วเรารู้ตัวว่าเราไม่ได้เก่ง  แต่เราขี่ม้าถูกตัวต่างหาก  เพราะว่าเรามีองค์ประกอบ  2  อย่างที่สนับสนุนให้เราประสบความสำเร็จ  องค์ประกอบอันที่  1  คือ  มีบุคคลที่ประสบความสำเร็จแล้วคอยสนับสนุนเรา    องค์ประกอบที่  2  คือมีองค์กรที่ประสบความสำเร็จแล้วคอยสนับสนุนเรา  เหมือนกับในแอมเวย์ที่เรามี  “upline  และ  บริษัทแอมเวย์  ที่คอยสนับสนุนให้เราประสบความสำเร็จครับ ถ้าคุณดูทีวี  ภาพในโฆษณาที่บอกว่า  แค่เริ่มต้นกับแอมเวย์  คุณก็เป็นแชมป์แล้ว  มันหมายถึงว่า  วันหนึ่งที่เราได้เข้ามาในธุรกิจนี้  เราได้เริ่มต้นกับความสำเร็จที่เป็นแชมป์  นั่นหมายความว่า  เราก็มีโอกาสเป็นแชมป์สูงใช่มั้ยครับ   ในปัจจุบันมีเครือข่ายหลายชนิด  เครือข่ายระบบทุน  เครือข่ายองค์กร  เครือข่ายมวลชน  มหาชน  อะไรต่างๆ  ซึ่งแตกต่างกับธุรกิจแอมเวย์  เพราะธุรกิจแอมเวย์  ก็ถือว่าเป็นเครือข่ายปัจเจกชน  มันเป็นความสำคัญข้อที่  1  คือ  เราทุกคนสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้  โดยที่ต่างคนต่างเป็นเจ้าของธุรกิจของตนเอง    ข้อที่  2 แต่ละคนทำงานในส่วนที่ง่ายๆเล็กๆที่ทุกๆคนสามารถทำได้ด้วยตนเอง    ข้อที่  3  ทุกคนสามารถทำได้โดยไม่ต้องทิ้งงานประจำ  ทำช้าก็ไม่เป็นไรขอแค่ไม่เลิกทำยังไงก็สำเร็จ    ข้อที่  4  ลงทุนต่ำและไม่เสี่ยง  ข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก  เพราะเป็นตัววัดว่าธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่มีภูมิคุ้มกัน  เป็นระบบเศรษฐกิจพอเพียง  เป็นระบบเศรษฐกิจขนาดย่อม  เป็น  SME  ที่มีประสิธิภาพที่สุด  เพราะว่า  Amway  ปกป้องผู้ที่ทำธุรกิจแอมเวย์ไม่ให้มีความเสี่ยง    ข้อที่  5  สามารถเติบโตได้ไม่มีวันสิ้นสุดเพราะธุรกิจจะมีการขยายตัวต่อเนื่องออกไป  และการขยายตัวอย่างต่อเนื่องทางธุรกิจก็เป็นรายได้แบบทวีคูณ  ซึ่งทำให้ธุรกิจแอมเวย์ไม่มีเพดานรายได้และไม่รู้เลยว่าจะมากมายเท่าไหร่  คือถ้าเราทำงานประจำซ้ำๆเราก็มีรายได้เท่าเดิมใช่มั้ยครับ  ถ้าอยากมีรายได้มากขึ้นต้องลงทุนมากขึ้นต้องเสี่ยงมากขึ้น  แต่กลับกันในธุรกิจแอมเวย์ เราก็ทำงานซ้ำๆ  ทำเหมือนๆเดิม  แต่รายได้ยังคงทวีคูณต่อไปเรื่อยๆ  คนสำเร็จทำแอมเวย์กันมาเป็น  20  ปี   20  ปีที่แล้วพวกเขาก็เขียนแผนสาธิตสินค้าตอบข้อโต้แย้ง  ผ่านมา  20  ปี  พวกเขาก็ทำงานแบบเดิมคือ  เขียนแผนสาธิตสินค้าตอบข้อโต้แย้ง  แต่คุณลองคิดดูนะครับ  ตอนเริ่มต้นเดือนแรกพวกเขาได้เงินกันไม่กี่สิบบาท  ผ่านมายี่สิบปี  พวกเขามีเงินเดือนๆหนึ่งเป็นล้าน  งานทั่วๆไปในโลก  โดยปกติถ้าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นขนาดนั้น  ต้องขยายธุรกิจมากมายมหาศาล  และยิ่งขยายมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเสี่ยงมากขึ้นเท่านั้น    บรรดานักอนาคตวิทยาในโลก  ทำนายและวิเคราะห์แล้วเขียนมาเป็นหนังสือ  “John  Naisbitt  Author  Of  Megatrends  Global  Paradox”  หนักสือเล่มนี้บอกเล่าถึงชีวิตผู้คนมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว  แต่ก็มีคนบางคนไม่ได้รับทราบ  บางคนก็ไม่ได้รับรู้  บางคนรู้แล้วแต่ก็ไม่เชื่อ  แต่ก็มีคนที่รับทราบ  คนที่รู้  คนที่เชื่อว่าในอนาคต  โลกของธุรกิจมันจะเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใด  John  เค้าบอกว่าต่อไปนี้โลกจะกลับตาลปัด ธุรกิจอะไรที่มันใหญ่ๆมันจะอุ้ยอ้ายเคลื่อนตัวยาก  แต่ธุรกิจที่จะอยู่ได้คือธุรกิจขนาดเล็ก    เมื่อปี  40  ฟองสบู่แตกทำให้ธุรกิจใหญ่ๆล้มระเนระนาดหมด  มันทำให้เกิดระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ที่เค้าเรียกว่า  ธุรกิจชุมชน  หรือ  OTOP  หรือ  SMB  เกิดขึ้นมากมาย  ในประเทศญี่ปุ่นมีโครงสร้างทางธุรกิจที่มั่นคงมาก  นั่นเป็นเพราะว่าเค้ามี  SMB  ที่ยิ่งใหญ่มาก  มี  SMB  มากมาย  ซึ่งถึงธุรกิจใหญ่ๆจะล้ม  แต่ธุรกิจแบบนี้จะไม่ล้ม  มันจะกลับกลายเป็นว่าในอนาคตทุกๆอย่างมันจะเคลื่อนตัว  มันจะเปลี่ยนแปลงแบบกลับตาลปัดโดยที่เราไม่รู้ตัว  เค้าชี้บอกแม้กระทั่งว่า  คนรวยอาจจะจนลง  และคนจนจะรวยขึ้น  ยิ่งไปกว่านั้นเค้ายังเขียนบอกอีกว่า  ธุรกิจเครือข่ายเท่านั้นที่จะเติบโต  ซึ่งถ้าใครไม่เชื่อสิ่งเหล่านี้มันจะเป็นความล้มเหลวราคาแพง    ในปี  40 บางคนนอนหลับดีๆ  ตื่นขึ้นมาก็จนทันที  มีคนบางคนนะครับจนอยู่ปกติ  แต่สิ้นเดือนก็กลับรวยทันทีเชื่อใหมครับสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเสมอ  แล้วนักอนาคตก็เขียนบอกอีกว่าเจ้าของกิจการเป็นผู้ที่มีบทบาทสูงสุดในระบบเศรษฐกิจโลก  และในอนาคต  บริษัทใหญ่ๆจะกลายเป็นเครือข่ายเจ้าของกิจการทั้งสิ้น  และหลังจากนั้นก็มีหนังสือเล่มหนึ่งออกมาชื่อ  “The  Future  Catches  You”  ได้วิเคราะห์ว่าต่อไปนี้ทุกๆอย่างจะเปลี่ยนแปลง  ผู้เขียนคือ  โอทริเก้  เขาเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่  ฮาร์วาด  เป็นผู้อำนวยการโครงการวิทยาศาสตร์แห่งชีวิต  เค้าบอกว่า  บุคคลใดก็แล้วแต่  เอาสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับอนาคตมาปฏิบัติวันนี้แล้ว  และได้เตรียมตัววันนี้เพื่ออนาคต  บุคคลเหล่านั้นจะเป็นบุคคลที่อยู่รอดปลอดภัย  แต่บุคคลใดก็แล้วแต่  ที่ไม่ล่วงรู้อนาคตว่าอะไรจะเกิดขึ้น  ทำงานแค่ดำรงค์ชีวิตในแต่ละวัน  และรำพึงรำพันแต่อดีต  คนเหล่านั้นจะถูกอนาคตไล่ล่า  นั่นหมายความว่ามันตามไปไล่ล่าเราอยู่ข้างหน้าแล้วใช่มั้ยครับ  แล้วเค้าก็บอกว่าเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพที่สุดก็คือ  เครือข่ายสมองมนุษย์  อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตคือ  อาณาจักรแห่งความคิด  ผู้ใดครอบครองเครือข่ายมนุษย์  ผู้นั้นจะเป็นผู้ครอบครองความมั่งคั่งในอนาคต  เนื่องจากโลกมันเปลี่ยนไปตามยุค  ในยุคเกษตรกรรมนะครับ  เค้าบอกว่า  ใครครอบครองที่ดินคนนั้นจะครอบครองความมั่งคั่ง  ในยุคอุตสาหกรรมเค้าบอกว่าใครครอบครองโรงงานอุตสาหกรรมคนนั้นครอบครองความมั่งคั่ง  ในยุคระบบทุนใครครอบครองเงินทุนมาก  คนนั้นจะครอบครองความมั่งคั่ง  ในโลกอนาคตก็เช่นกัน  ใครครอบครองเครือข่ายมนุษย์  ใครครอบครองช่องทางการจัดจำหน่าย  คนๆนั้นจะครอบครองความมั่งคั่ง  สิ่งเหล่านี้ได้มีผู้ทำนายมาและได้นำเสนอไปเมื่อไม่กี่ปีมานี้  แต่ในธุรกิจ  Amway  ท่านประธาน  ริช  และ  เจ  คิดและทำเรื่องนี้มา 50  ปีแล้ว  เพราะฉะนั้นมันเลยทำให้ผู้คนประสบความสำเร็จได้มากมายในปัจจุบัน  ระบบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพมีเคล็ดลับก็คือ  ทำให้ผู้วื้อกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย  เครือข่ายนั้นก็จะเติบโตมากขึ้น  ยกตัวอย่าง  ถ้าเรามีหุ้นในธนาคารกรุงเทพ  เราเป็นผู้ถือหุ้น  ถ้าเราอยากไปฝากเงิน  หรือกู้เงิน  เราจะไปทำที่ธนาคารไหนดีครับ  ก็ต้องเป็นธนาคารที่เราถือหุ้นถูกมั้ยครับ    อดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง  ท่านเป็นผู้ครองครองเครือข่ายมนุษย์  มีเครือข่ายอยู่  15  ล้านคน  ทุกๆครั้งที่คนโทรศัพท์  สมมติว่าคนละ  10  นาทีต่อวัน  รายได้ไม่ต้องมากครับ  แค่นาทีละบาท  15  ล้านคนก็  15  ล้านบาทต่อนาที  แล้วถามว่าเราโทรศัพท์กันวันละกี่นาที  เดือนละกี่นาที  ปีละกี่นาที  รวยมั้ยครับ  แต่เราเป็นอย่างนี้ได้มั้ยครับ  ไม่ทันแล้ว  เราไม่ทันแล้ว  เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องของโอกาส  แต่เรายังมีช่องทางของเราก็คือว่า  เราสามารถสร้างเครือข่ายของเราได้  และคนรอบข้างเรา  แปรงฟัน  ซักผ้า  อาบน้ำ  ล้างจาน  ใช้สบู่  แชมพูกันทั้งนั้นใช่มั้ยครับ  เพราะฉะนั้นความถี่ของผู้คนที่บริโภคในเครือข่ายเรากับความถี่การใช้งานโทรศัพท์มือถือ  บางครั้งความถี่ของเราอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไปใช่มั้ยครับ  เพราะฉะนั้น  โอกาสที่เราจะครอบครองเครือข่ายแบบนี้  มันเป็นโอกาสของเรา  และคนที่จะรองรับระบบเครือข่ายแบบนี้ให้เราก็คือ  บริษัทแอมเวย์ครับ  ขอเสียงปรบมือให้กับทุกท่านที่มีโอกาสนี้ด้วยครับ
ถ้ามีบริษัทซักบริษัทนึง  มาเสนอเราว่า  ไหนๆคุณก็ต้องใช้ระบบโทรศัพท์มือถืออยู่แล้ว  ผมจะให้คุณเป็นส่วนหนึ่งในเครือข่าย แล้วเครือข่ายนี้  กับเครือข่ายผู้ซื้อ  เป็นคนๆเดียวกัน  เค้าบอกคุณว่าให้คุณชักชวนเพื่อนฝูง  ญาติพี่น้องผู้คนเข้ามาในเครือข่ายคุณซัก 2,000  คน  สมมติว่าแต่ละคนโทรศัพท์คนละ  1,000  บาทต่อเดือน  สิ้นเดือนเป็นเงิน  2  ล้านบาท  ถ้าคุณทำได้แบบนี้เค้าจะจ่ายให้คุณ 10%  คือ  200,000  บาทต่อเดือน  คุณเอามั้ยครับ  แล้วถ้าถ้าคุณชักชวนญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของคุณเหมือนเดิม  ให้ไปซื้อของที่ห้างแห่งนึง  ถ้าเขาบอกว่า  ถ้าคุณชวนคนมาสมัครสมาชิกที่ห้างเค้าเพื่อให้คนๆนั้นได้ส่วนลดเวลาเค้ามาซื้อซัก  2,000  คน  สมมติซื้อซักคนละ 1,000  บาทในสิ้นเดือน  ห้างมียอด  2  ล้าน  เค้าจะจ่ายให้คุณ  10%  คือ  200,000  บาทต่อเดือน  ถ้ามีห้างใหญ่ๆมาบอกคุณแบบนี้โอเคมั้ยครับ  ค่าป็นหุ้นส่วนกับห้าง  300,000  เอาไหมครับ  แต่ว่าต้องพูดแผนประมาณ  3  -  5  ทุ่มนะ  จะอยู่ต่อไหมครับ  แน่นอนครับพวกเราคงรอยคอยกันเพราะคิดว่าเป็นโอกาสใช่มั้ยครับ  แต่ในความเป็นจริง  บริษัทและห้างใหญ่ๆเค้าเปิดโอกาสให้เราแบบนี้ไหมครับ  ไม่ให้ อะไรที่ง่ายๆแบบนี้คุณว่ามันจะมีสิทธิ์มาถึงเรามั้ยครับ  แต่มีบริษัทๆนึงชื่อแอมเวย์  เค้าส่งข้อมูลผ่าน  upline  ของคุณให้ไปบอกผู้คนว่า คุณซื้อผงซักฟอก  สบู่  ยาสีฟันอยู่มั้ยครับ  คุณไปบอกผู้คนแบบนี้  2,000  คน  มาซื้อสินค้าที่ห้างแอมเวย์ซักคนละ 1,000  บาท  ยอดรวม  2 ล้านบาท  Amway  บอกว่าจะจ่ายให้คุณ  21%  คือ  420,000  บาท  ทุกๆเดือนตลอดไป  เอาไหมครับ  รับไว้ไหมครับ  ถ้าคุณเอาสิทธิ์นั้นก็เป็นของคุณเดี๋ยวนี้    นี่คือการให้ที่ผู้ซื้อเป็นส่วนหนึ่งในเครือข่าย  และบุคคลที่ครอบครองเครือข่ายคนนั้นก็จะครอบครองความมั่งคั่งตามเชื่อไหมครับ  เพราะฉะนั้นเรื่องราวทั้งหมดสรุปก็มีอยู่เท่านี้แหละครับ  แต่พอเราไปเล่าเรื่องแอมเวย์  ไปบอกว่าให้มาร่วมเครือข่ายกับแอมเวย์  คนก็บอกว่ากลัว  ของแพง  คนทำเยอะ  ขายยาก  ข้างบ้านทำยังเลิกเลย  มันเป็นกรอบความคิดเดิมที่คนเชื่อกันอย่างนั้นใช่ไหมครับ  แต่หลังจากนี้ทุกท่านจะได้ความคิดใหม่ๆกลับไปแน่นอน  แต่เชื่อไหมครับ  กว่าที่คุณจะชวนคนมาได้  2,000  คน  คุณอาจจะชวนคนเป็น  10  คนเป็นร้อยคนก็อาจจะยังไม่เชื่อคุณเลย ถ้าเป็นแบบนี้แล้วคุณยังจะชวนต่อคนที่  101  มั้ยครับ  ชวนต่อไหมครับ  คนเราอยู่ในโอกาสทางธุรกิจที่พื้นๆง่ายๆธรรมดาๆ  จะกลับกลายเป็นมองไม่เห็น  เค้าบอกว่า  นกไม่เห็นฟ้า  ปลาไม่เห็นน้ำ  ผู้คนอยู่ท่ามกลางโอกาสแต่กลับมองไม่เห็น  ผู้คนกำลังวิ่งหาในสิ่งที่ตัวเองวิ่งหนี  สิ่งที่มนุษย์ใฝ่ฝันแสวงหาคือ  อิสรภาพ  ทางการเงิน  เวลา  และอยากมีความสุข  มีความมั่นคงในชีวิต  ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันมีให้คุณในธุรกิจแอมเวย์อยู่แล้ว  แต่ผู้คนกลับวิ่งหนีแอมเวย์  คนส่วนใหญ่วิ่งหาในสิ่งที่ตัวเองวิ่งหนี  แล้วมันจะเจอมั้ยครับ  ยังงัยก็ไม่เจอวันยังค่ำ  หนังสือ  “Business  Week”  พูดถึงบริษัทที่จะยังคงอยู่ 1,000  บริษัทแรก  เค้าบอกว่า  ธุรกิจในโลกอนาคต  ที่เป็นธุรกิจระดับโลกในระบบทุนนิยม  การตลาดใดก็แล้วแต่ที่อยู่ในระบบทุนนิยม  1,000  บริษัทแรกจะมีโครงสร้างต่อไปนี้ที่ยังคงอยู่
ธุรกิจระดับแนวหน้าที่ยังคงอยู่  1,000  อันดับแรกจะมี  ระบบสื่อสาร  เครือข่ายคอมพิวเตอร์  มือถือ  ที่จะยังคงอยู่  และก็จะมีธุรกิจแบบเครือข่ายผู้บริโภค  จะยังคงเป็นธุรกิจที่อมตะมั่นคงไม่แพ้ระบบไฮเทคโนโลยีของมือถือด้วยซ้ำไป  และเรามีโอกาสที่จะทำธุรกิจเครือข่ายคอมพิวเตอร์  มือถือ  หรือยาสีฟัน  คุณคิดว่าอะไรที่เป็นโอกาสสำหรับเราครับ    หนังสือ  “Business  Work”  ขึ้นหน้าปกบอกว่า  นี่คือยุคทองของระบบทุนนิยม  Global  Capitalism  ระบบทุนนิยมก็คือ  ใช้กลไกการตลาด  ใช้กฎดีมาน –  ซัพพลาย  ใครใคร่ค้าค้า  ใครใคร่ขายขาย  ใครทำมากได้มาก  ใครทำน้อยก็ได้น้อย  ระบบทุนนิยมแบบนี้ก็ได้เจริญเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้  แต่ก็มีบุคคลที่เชื่อว่าระบบทุนนิยมก็ไม่ใช่ระบบที่ดีที่สุดในโลกนี้  เพราะระบบทุนนิยม  เป็นลักษณะปลาใหญ่กินปลาเล็ก  คนรวยก็จะรวยขึ้น  คนจนก็จะจนลง  คนจนที่ไม่มีโอกาส  ยิ่งไม่มีโอกาส  คนรวยที่มีโอกาสยิ่งมีโอกาส  มันหาความสำเร็จของผู้คนที่หลากหลายให้เท่าเทียมกัน เป็นไปไม่ได้  หลังจากนั้นมีบุคคลท่านหนึ่งชื่อ เจ แวนแอนเดล  เขาเป็นผู้ก่อตั้งแอมเวย์ ได้บอกไว้ว่า  ระบบทุนนิยมที่ดี  จะต้องเป็นระบบทุนนิยมที่เสรี  และระบบที่เสรี  จะต้องเป็นเสรีแบบเท่าเทียมกัน  ไม่ใช่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก  ไม่ใช่มือใครยาวสาวได้สาวเอา  แต่ต้องเป็นระบบเสรีที่เท่าเทียมกัน  ประธานบริษัทแอมเวย์  Rich  Devos  เค้าบอกว่า  ระบบเสรีทุนนิยม จะต้องเป็นเสรีที่บวกความเมตตาเข้าไปด้วย  ระบบทุนนิยมแบบนี้  มันจะทำให้ผู้คนในสังคมที่อยู่ในโครงสร้างทางการตลาด  สามารถประสบความสำเร็จได้เท่าเทียมกัน  บนความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  โดยวัดผลลัพธ์ความสำเร็จของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมแบบนี้ว่า  ถ้าใครต้องการรวยต้องแบ่งปันมากๆ  ถ้าใครต้องการมากต้องให้มากๆ  วัดความสำเร็จกันที่  ได้ให้เท่าไหร่  ไม่ได้วัดกันที่เอามาเท่าไหร่

1 ความคิดเห็น:

  1. ชื่อ โบว์ ค่ะ ใช้สินค้า Amway มาตั้งแต่เด็กๆ คุณแม่เป็นคนแนะนำธุรกิจนี้ให้ รุ้สึกดีใจและภูมิใจมากค่ะเพราะทุกอย่างไม่ได้ทำเพื่อขาย แต่โบว์ทำเพื่อดูแลคนที่เรารักค่ะ สินค้าเค้าดีจริงค่ะกล้ารับประกัน ตั้งแต่ทำมาโบว์ได้แนวทางการใช้ชีวิตเป็นอย่างมากค่ะเพราะโบว์เป็นเด็กเกเรคนนึงแต่เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ก็เพราะธุรกิจนี้ เราทำกันเหมือนเป็นพี่น้อง เหมือนคนในครอบค่ะ สนใจติดต่อมาได้นะ Line: zaakaabow

    ตอบลบ